ในปัจจุบันกระแสการอนุรักษ์ธรรมชาติเข้ามามีบทบาทอย่างมากในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มและกระแสความตื่นตัวในเรื่องภาวะโลกร้อนที่แรงขึ้นทุกขณะในทั่วทุกมุมโลก ส่งผลให้ประชากรโลกเริ่มหันมาใส่ใจต่อแนวทางการดำเนินชีวิตที่จะช่วยบรรเทาภาวะโลก ซึ่งการเลือกบริโภคสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมถือเป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะช่วยลดภาวะโลกร้อนได้
โดยหลายๆ ประเทศได้มีการกำหนดเกณฑ์การตัดสินใจให้ประชาชนเลือกใช้สินค้าที่มี ฉลากผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรที่สิ่งแวดล้อม (Eco-label) ซึ่งแต่ละประเทศจะมีชื่อเรียกต่างกันไป เช่น ประเทศไทยใช้คำว่า ฉลากเขียว เยอรมันใช้คำว่า Blue angle และสหภาพยุโรปใช้คำว่า EU-flower
ปัจจุบันฉลากผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรที่สิ่งแวดล้อม หรือ Eco labelยังไม่ได้เป็นมาตรการที่เข้มงวดสำหรับผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์แต่ในอนาคตหากประชาชนหันมาเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากสิ่งแวดล้อมมากขึ้นก็เท่ากับเป็นการบีบบังคับให้ผู้ผลิตต้องหันมาปรับปรุงศักยภาพในการผลิตโดยเฉพาะผู้ผลิตในอุตสาหกรรมสิ่งทอซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีสารเคมีเข้ามาเกี่ยวข้องในกระบวนการผลิตมากเป็นอันดับต้นๆ
ประโยชน์ของการผลิตผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Eco-textile) นั้นมีมากมายและมีอิทธิพลต่อการส่งออกของหลายๆประเทศ เนื่องมาจากปัจจุบันได้มีการตั้งเขตการค้าเสรี ทำให้แต่ละประเทศไม่สามารถตั้งกำแพงภาษีได้ จึงหันมาใช้ non-tariff barriers มากยิ่งขึ้น ดังนั้นการให้ความสนใจด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ถูกให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ดังนั้น หากผู้ผลิตได้มีการปรับตัวรับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้จะเป็นการเพิ่มโอกาสในการแข่งขันกับต่างประเทศมากยิ่งขึ้น ซึ่งมีผลต่อการเพิ่มโอกาสการแข่งขันด้านการส่งออกด้วย รวมถึงสินค้า Eco-textile ยังช่วยลดต้นทุนได้
ซึ่งเห็นได้จากในหลายประเทศเริ่มมีการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตในหลายกลุ่มสินค้า ดังในกรณีของประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีการเสนอผลผลิตใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งก็คือ ผ้าพันคอ ถุงมือ และอื่นๆ ทำจากขนแกะ ซึ่งมีคุณสมบัติที่ดีกว่าขนแพะ โดยกลุ่มผู้บริโภคได้หันมาซื้อเพิ่มขึ้น สาเหตุที่ขายได้ส่วนมาจากการเรียนรู้ถึงความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และความสวยงามที่มีคุณสมบัติพิเศษ ความนุ่ม รักษความอบอุ่น
ในกลุ่มลูกค้าปัจจุบันนี้ได้มีความต้องการสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ดังนั้นแล้วผู้ประกอบการควรมีการปรับเปลี่ยนการผลิตที่สามารถสนองตอบความต้องการของผุ้บริโภค อย่างเช่น บริษัท Gramicciที่สหรัฐฯ ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคที่ต้องการสินค้าที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมจึงได้มีการผลิตเสื้อผ้าที่ผลิตมาจากฝ้ายธรรมชาติ 55%และการรีไซเคิลโพลิเอสเทอร์ 45%รูปแบบการทอที่เรียกว่า“Lux Eco” ผลิตมาจากเส้นใย hemp 77% และเส้นใยไหม 23%เป็นต้น เพื่อสนองตอบต่อความต้องการที่เกิดขึ้นในตลาด
นอกจากนี้ ทางสหรัฐฯ ได้มีการเปิดตัวสินค้าประจำท้องถิ่นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมBrian Kahn กล่าวว่า “จะไม่แข่งกับแบรนด์ที่มีชื่อเสียงแต่เราสนับสนุนธุรกิจในท้องถิ่นที่มีความรับผิดชอบต่อสภาพแวดล้อม และวัตถุดิบที่นำมาใช้ในการตัดเสื้อผ้าจะต้องรักษาธรรมชาติ อาทิ ฝ้ายธรรมชาติ ต้นไผ่”
บริษัทผู้ผลิตแบรนด์ Reebox โดย John McMahonผู้จัดการทางการตลาด ได้กล่าวว่า “บริษัทเห็นคุณค่าความสำคัญของสิ่งแวดล้อมและการดำเนินธุรกิจของบริษัทนั้นได้รับผิดชอบสิ่งแวดล้อม”โดยทางบริษัทได้มีการผลิตสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีการใช้วัสดุประเภทเส้นใยฝ้ายธรรมชาติ 100%
ผู้ผลิตผ้ายีนส์และผ้าขนแกะในประเทศฝรั่งเศส ได้มีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ การย้อมผ้าขนแกะที่ผสมฝ้ายนั้นสีที่ใช้ย้อมนั้นไม่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมโดยตลาดมีความต้องการเส้นใยขนสัตว์ที่กระบวนการผลิตที่ไม่มีสารเคมี โดยเส้นใยที่ได้จากแกะนั้นได้มีการตัดทุกปี และไม่ได้ทำอันตรายให้แก่สัตว์
ในงานแสดงสินค้า 'Offshore Arabia 2009'ประเทศญี่ปุ่นโดยกลุ่ม Teijinได้เข้าร่วมโดยมีเป้าหมายที่จะสนับสนุนธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งสินค้าที่นำมาแสดงในงานจะเป็นกลุ่มที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อาทิ เสื้อผ้าสำเร็จรูปของผู้หญิงและผู้ชายที่ได้จากการนำเส้นใยโพลิเอสเทอร์กลับมาใช้ใหม่
“Dogi Group”กลุ่มผู้ผลิตผ้าผืนที่เป็นผ้ายืดในประเทศสเปน กล่าวว่า “กระแสผ้าผืนที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมรุนแรงมากขึ้น” โดยวัตถุดิบที่ใช้มาจากการรีไซเคิลเส้นใยไนล่อนและเส้นใยฝ้ายธรรมชาติ สุดท้ายเสื้อผ้าที่ทำมาจากเส้นใยธรรมชาติจะมีความต้องการมากจากกลุ่มลูกค้าที่มีความตระหนักถึงการปกป้องธรรมชาติ
บริษัท Recticel ได้กล่าวว่า “การผลิตเป็นไปตามกระแสการตระหนักถึงสิ่งแวดล้อมในตลาดเครื่องนุ่งห่ม”โดยได้มีการใช้บางส่วนของต้นถั่วเหลือมาเป็นวัตถุดิบและทางบริษัทต้องการให้เป็นที่รู้จักโดยทั่วในงานแสดงสินค้าที่ฮ่องกง
จากข้อมูลที่รวบรวมมานำเสนอข้างต้น ทำให้มองเห็นได้ว่า กลุ่มผู้บริโภคที่ตระหนักถึงเรื่องสิ่งแวดล้อมนั้นมีมาก และมีความต้องการซื้อสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ประกอบการสิ่งทอที่จะฝ่าฟันวิกฤติเศรษฐกิจที่รุนแรง ในขณะนี้ก็คือการมองไปที่ตลาดต่างประเทศที่มีนโยบายหรือมีแนวโน้มในประเด็นดังกล่าว และสร้างผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมให้ได้ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้เพื่อส่งออกไปยังประเทศเหล่านั้น
แม้ว่าปัจจุบันตลาดสิ่งทอที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมยังค่อนข้างแคบแต่จากภาวะโลกร้อนที่นับวันจะเป็นปัญหาของโลกมากขึ้นเรื่อยๆ และการที่มนุษย์หันมาสนใจใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติมากขึ้นกว่าการใช้สารเคมีที่มีผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในระยะยาว ทำให้พอจะมองเห็นได้ว่าอนาคตของผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมน่าจะสดใสและยืนยาวกว่าผลิตภัณฑ์ที่เต็มไป ด้วยสารเคมีที่เพิ่มภาวะโลกร้อนและทำลายสิ่งแวดล้อมดังที่ผ่านมา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น